“ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติการเรียนรู้ของสมองเด็กปฐมวัย”
Brain-Based Learning (BBL)
การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด พัฒนาการและการเรียนรู้ของสมอง
คือ การนำองค์ความรู้เรื่องสมอง และธรรมชาติการเรียนรู้ของสมอง
มาใช้ในการออกแบบ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งในด้านกิจกรรม การเสริมสร้างประสบการณ์ ตลอดจนการจัดสิ่งแวดล้อม
และกระบวนการอื่น ๆ ร่วมกับสื่อเพื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ทำให้เด็กสนใจ เข้าใจ เรียนรู้
และรับไว้ในความทรงจำระยะยาว ทั้งยังสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมเป็นการสร้าง
ศักยภาพการเรียนรู้สูงสุดของมนุษย์
ธรรมชาติของสมอง
สมองเป็นอวัยวะสำคัญของชีวิต มีหน้าที่ในการดำรงอยู่ของชีวิต
การคิด และการเรียนรู้ของมนุษย์ การพัฒนาการใช้สมองนี้จำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัย เพราะเด็กปฐมวัยของการพัฒนาสมองอย่างรวดเร็ว
สมองของแต่ละคนประกอบด้วยเซลล์ประสาทสมองประมาณ 100 ล้านเซลล์ การทำงานของเซลล์ประสาทสมองจะเป็นวงจร
แต่จะส่งส่วนยื่นของเซลล์เรียก เดนไดรท์ (Denreite) ออกไปหาเซลล์อื่นเพื่อเกาะสัมผัสกันเป็นวงจร
แล้วสื่อสารถ่ายทอดกัน เช่น ไปสัมผัสกับเซลล์ประสาทตาเพื่อรับภาพ ไปสัมผัสกับประสาทเซลล์กล้ามเนื้อเพื่อควบคุมเซลล์กล้ามเนื้อให้เคลื่อนไหว
ยิ่งเซลล์ประสาทสมองสร้างโยงใยสำหรับสื่อสารออกไปได้มากเท่าไร เซลล์นั้นก็สามารถถ่ายทอดข้อมูลได้มากเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าสมองเพิ่มกิ่งก้านสาขาโยงใยวงจรเซลล์ประสาทเพื่อส่งรับถ่ายข้อมูลให้มาก
ขึ้น เป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาให้เด็กมากยิ่งขึ้น สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับพัฒนาการและควบคุมดูแลความสามารถในการ
ได้ยิน ความสามารถทางภาษา การพูด ความจำ การดมกลิ่น และอารมณ์ คือ สมองส่วนที่ชื่อว่า
เทมพอรัลโลบ (Temporallobe)
การพัฒนาการใช้สมองนี้จำเป็นสำหรับปฐมวัย
เพราะเด็กปฐมวัยของพัฒนาการสมองอย่างรวดเร็ว จากผลการวิจัยและหลักการทฤษฏีใหม่เชื่อว่าการให้เด็กได้เล่น
ได้รับ ได้กระทำ เป็นการพัฒนาความงอกงามของใยแต่ละเซลล์ประสาทของสมองสวนคอร์เทกซ์
การหยิบจับสัมผัสเป็นสื่อสร้างการเรียนรู้สำหรับ
เด็กปฐมวัย และเป็นด่านแรกของการสร้างเสริมที่สัมพันธ์กับการกระตุ้นความงอกงามของใย
ประสาท การที่เด็กได้รับการกระตุ้นให้ใช้กล้ามเนื้อเล็กด้วยการปั้น หยิบ จับ ตามด้วยการส่งเสริมความสามารถในการคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาตามวัย
เป็นการพัฒนาเส้นประสาทที่งอกงามไปพร้อมกับการพัฒนาทางปัญญา จากการวิจัยพบว่า การใช้กล้ามเนื้อเล็ก
การให้เด็กมีประสบการณ์คิด การเล่นดนตรีจะทำให้เส้นใยประสาทพัฒนาอย่างรวดเร็ว ประสบการณ์ทั้งดีและเลวมีผลต่อใยประสาทของเด็ก
การพูด การร้องเพลงจะทำให้ใยประสาทงอกงาม แต่ในทางตรงกันข้ามความเครียดจะมีผลทำให้ใยประสาทของสมองถูกกดการทำงาน
เนื่องจากขณะเครียดเกิดมีสเตอร์รอยด์ฮอร์โมนที่เรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาสูงเป็นเหตุทำให้เซลล์สมองตาย
ความคล่องแคล่วว่องไวในการเรียนรู้ จะลดลงถ้าต้องการให้เด็กเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีการพัฒนาทางปัญญาต้องให้แต่
ประสบการณ์ที่ดีกับเด็ก เด็กที่เครียดใยประสาทและเซลล์สมองจะเล็กกว่าคนทั่วไปร้อยละ
20 – 30 ความสำคัญของการเพิ่มมากของใยประสาทอยู่ที่ถ้ามีมากจะทำให้มีการถ่าย
ทอดกระแสประสาทที่รวดเร็ว ตรงบริเวณที่เป็นจุดเชื่อมต่อ (Synapses) ซึ่งจุดเชื่อมต่อนี้มีสารเคมีอยู่ 2 กลุ่ม ที่เป็นตัวกระตุ้นความเร็วช้าของการเชื่อมต่อ
สารเคมีกลุ่มที่ทำให้ข้อมูลข่าวสารเร็วขึ้นคือเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ในทางตรงกันข้ามสารคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งพบเมื่อเครียดจะทำให้การถ่ายโยงกระแสประสาทช้าและทำลายสมองส่วนที่เก็บ
หน่วยความจำ ใยประสาทจะมากน้อยขึ้นอยู่กับอาหาร การออกกำลังกาย การได้คิด ได้สัมผัสจับต้อง
ซึ่งการคิดสร้างสรรค์จะทำให้ใยประสาทงอกงาม แต่ถ้าถูกกดดันจะมีผลทำให้เซลล์ประสาทขนาดเล็กลงและมีใยประสาทน้อย
ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ เช่นกันหากสมองส่วนไหนไม่ได้ใช้จะถูกทำลายลงไป
การเพิ่มขึ้นของประสาทจะมีการเชื่อมโยงต่อกัน
แต่ละใยประสาทที่เพิ่มขึ้นจะมีแผ่นไขมันมาหุ้มเป็นฉนวน (Myelination) ทำให้เกิดการถ่ายทอดพลังประสาทที่รวดเร็ว
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของสมองเด็ก และในช่วงวัยนี้ความสามารถของสมองจะปรับไปตามประสบการณ์ที่ได้รับ
สมองเริ่มมีใยงอกงามเมื่อไข่ผสมได้ 9 เดือน เมื่อแรกเกิดสมองเด็กจะประกอบด้วยเซลล์ประสาทเป็นแสนล้านเซลล์
เป็นจำนวนเท่ากับเซลประสาททำให้มีการติดต่อสื่อสารข้อมูลถึงกันทำให้เกิดการ รับรู้
เข้าใจทักษะและมโนทัศน์ที่ผ่านเข้ามาเป็นระยะ การเรียนทำให้ทั้งจำนวนและการสานต่อใยประสาทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ใยประสาทนี้จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม การเจริญของสมองจะพัฒนาโดยลำดับ
3 ขวบแรก การเชื่อมต่อใยประสาท จะเป็นอย่างรวดเร็ว เมื่ออายุ
5 ขวบ สายใยประสาทจะหดสั้นเข้าและสมบูรณ์เมื่ออายุ 6 ขวบ ซึ่งการกระตุ้นการเรียนรู้ในชั้นอนุบาลจะทำให้เกิดความงอกงามมากขึ้น และสมองทำหน้าที่เต็มที่
สมองสองซีก
สมองของมนุษย์ แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
สมองซีกซ้าย (Left Hemispher) และสมองซีกขวา (Right Hemisphere) โดยสมองสองส่วนนี้จะถูกเชื่อมโยงต่อกันโดยเส้นใยนับล้าน
ๆ เส้น ซึ่งเรียกว่า คอร์บัส คอลโลซัม (Corpus callosum) สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่ควบคุมซีกขวาของร่างกายและสมองซีกขวาจะควบคุมร่างกาย
ทางซีกซ้าย โดยสมองแต่ละซีกจะทำหน้าที่ด้านการรับรู้ข้อมูลไม่เหมือนกัน แต่ในการที่จะให้ร่างกายทั้งสองซีกทำงานร่วมกันนั้นก็คือเราจะต้องใช้สมอง
ทั้งสองซีกอย่างสอดประสาน การเรียนรู้ของมนุษย์จึงจะมีศักยภาพ เราทุกคนใช้สมองทั้งสองซีกอย่างสอดประสาน
การเรียนรู้ของมนุษย์จึงจะมีศักยภาพ เราทุกคนใช้สมองทั้งสองซีกแต่เราอาจจะใช้ซีกหนึ่งมากกว่าอีกซีกหนึ่ง
เช่น อาจใช้สมองซีกขวา 60 เปอร์เซ็นต์และใช้สมองซีกซ้าย
40 เปอร์เซ็นต์ เด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ สมองซีกซ้ายจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ส่วนสมองซีกขวาจะค่อย ๆ เจริญเติบโตและตามทันกันเมื่อลูกมีอายุ 3 – 4 ขวบ
มนุษย์แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้
โดยใช้สมรรถภาพของสมองส่วนต่าง ๆ แตกต่างกัน บางคนจะสามารถรับรู้ทางจักษุประสาทได้อย่างดีเลิศ
ทั้งนี้เพราะสมองซีกขวามีความถนัดในการทำงานมากกว่าซีกซ้าย เรียกว่า เป็นผู้เรียนทางตา (Visual Learners) คนอีกกลุ่มหนึ่งจะเรียนรู้ได้ดีจะต้องผ่านโสตประสาทคือ
ต้องได้ยินด้วยหูจึงจะเข้าใจ เรียกว่า เป็นผู้เรียนรู้ทางหู (Auaditory
Learnners) คนกลุ่มนี้มักจะเป็นผู้ที่ถนัดใช้สมองทางซีกซ้าย ส่วนคนที่ไม่แน่ชัดว่ามีความถนัดเรียนรู้ทางด้านไหนอย่างไร
มักจะเป็นคนที่เรียนด้วยประสาทสัมผัสทางผิวหนังผสม ผสานประสาทสัมพันธ์ทางกล้ามเนื้อและข้อต่อ
หรือที่เรียกว่า เป็นผู้เรียนทางแฮบติค (haptic Learners) ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ความสามารถพิเศษของสมองแต่ละซีกที่เกี่ยวข้องกับทักษะต่าง ๆ
เป็นที่คาดหวังกันว่าสมองซีกที่ถนัดควรต้องเป็นสมอง
ซีกที่ชำนิชำนาญในการย่อยข้อมูลที่ได้รับมากกว่าอีกซีกหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามในการใช้สมองนั้นมนุษย์ควรให้สมองได้ทำงานอย่างมีสมดุลทั้ง
ซีกซ้ายและซีกขวา แม้ว่าจะมีการกำหนดทักษะบางทักษะว่าเป็นความถนัด หรือเป็นความสามารถเฉพาะของสมองแต่ละด้านก็ตาม
สมองซีกซ้าย
มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
และความถนัดของเด็กในช่วงแรกเกิดทำให้เกิดกำลังทำให้เด็กสามารถรับความ รู้สึกจากสิ่งที่รับ
จากภาพที่เห็น จากเสียงที่ได้ยิน แปลเป็นรูปธรรมอันทำให้เด็กรู้ว่าสิ่งที่ตนสัมผัสเป็นอย่างไร
มีรูปร่างอย่างไร มีการเคลื่อนไหวอย่างไร ทำให้เด็กพูดภาษาได้เข้าใจ ความหมายของภาษา
เข้าใจด้านคำนวณ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ โครงสร้างและความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นหลักการที่เป็นเหตุผล
สมองซีกขวา
มีหน้าที่และสั่งการเรื่องกับนามธรรม
จริยธรรม ศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม ความรัก เรื่องของอุปนิสัยใจคอ อารมณ์ความรู้สึก การสร้างจินตนาการต่าง
ๆ ฯลฯ
แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาส่งเสริมสมองซีกขวา
และซ้ายนั้น ควรทำไปพร้อม ๆ กันทั้งนี้เพื่อให้เด็กเป็นผู้มีความสามารถ มีสติปัญญา
เก่งในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีจิตใจที่ดีงาม มีคุณธรรม เป็นคนดีของสังคม
สมองกับการเรียนรู้
สมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกกำลังกายและต้องการการ
ฝึกเหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย การใช้สมองที่ถูกต้องสม่ำเสมอจะทำให้เกิดความคิด
ความจำที่งอกงาม เด็กอายุ 6 ขวบแรกเป็นขวบที่มีสมองมีความเจริญงอกงามสูงสุดกว่าร้อยละ 80 ของวัยผู้ใหญ่ ประสบการณ์การเรียนรู้ในช่วงปฐมวัยนี้จึงมีความหมายสำหรับเด็กมาก
ซึ่งนอกจากการดูแลโภชนาการที่ถูกต้องแล้วเด็กควรได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ ที่สัมพันธ์กับสมองด้วย
การเรียนรู้เป็นกระบวนการจัดทำสารสนเทศภายในสมอง
ด้วยการรับสารสนเทศผ่านกลไกการซึมซับไปสู่การสร้างเป็นองค์ความรู้สะสมไว้ใน สมอง เมื่อต้องการนำมาใช้สมองจะตอบสนองสิ่งที่กระตุ้นแล้วถ่ายทอดสารสนเทศที่จำ
เป็นได้ออกมา ความเร็วช้าของการเรียกความจำนี้เป็นไปตามสมรรถภาพของสมองของแต่ละบุคคล
ความสามารถทางสติปัญญามนุษย์
ทฤษฏีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligence MI) ของโฮเวิร์ด การ์เนอร์ (Howard Gardner. 1993) ได้จำแนกความสามารถทางสติปัญญาของมนุษย์ออกเป็น
8 ด้าน ซึ่งแต่ละบุคคลจะมีความสามารถทั้ง 8 ด้าน
อาจจะมากน้อยแตกต่างกัน สามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ถ้าได้รับการฝึกฝนที่เหมาะสมและความสามารถทางสติ
ปัญญานี้สามารถทำงานร่วมกันได้ สามารถแสดงออกให้เห็นได้ในหลาย ๆ ลักษณะ สามารถทางสติปัญญาของมนุษย์ทั้ง
8 ด้าน มีดังนี้
1. สติปัญญาด้านภาษา
(Verbal – Inquistis Intelligence) คือ ผู้ที่มีความสามารถทางด้านภาษาสูง
เช่น นักเล่านิทาน นักพูด นักการเมือง หรือ ด้านการเรียน เช่น กวี นักเขียนบทละคร บรรณาธิการ
นักหนังสือพิมพ์ ปัญญาด้านนี้ยังรวมถึงความสามารถในด้านการจัดกระทำเกี่ยวกับโครงสร้างของภาพ
เสียง ความหมาย และเรื่องที่เกี่ยวกับภาษา เช่น ความสามารถใช้ภาษาในการหว่านล้อม การอธิบาย
เป็นต้น
2. สติปัญญาด้านตรรกและคณิตศาสตร์
(Logical/Mathematic Intelligence) ได้แก่ ผู้ที่มีความสามารถสูงในการใช้ตัวเลข
เช่น นักบัญชี นักคณิตศาสตร์ นักสถิติ และผู้ให้เหตุและผล ที่ดี เช่น นักวิทยาศาสตร์
นักตรรกศาสตร์ นักจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ปัญญาด้านนี้ยังรวมถึงความไว ในการเห็นความสัมพันธ์แบบแผนตรรกวิทยา
การคิดเชิงนามธรรม และการคิดที่เป็นเหตุผล (Cause – effect) และการคิดคาดการณ์
(if – then) วิธีการที่ใช้ในการคิด ได้แก่ การจำแนกประเภท การจัดหมวดหมู่
การสันนิษฐาน สรุป การคิดคำนวณ การตั้งสมมติฐาน
3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์
(Visual/Spatial Intelligence) คือ ความสามารถในการมองเห็น พื้นที่ ได้แก่
นายพราน ลูกเสือ ผู้นำทาง และสามารถปรับปรุงวิธีการใช้เนื้อที่ได้ดี เช่น สถาปนิก มัณฑนาการ
ศิลปิน นักประดิษฐ์ ปัญญาด้านนี้รวมไปถึงความไวต่อสี เส้น รูปร่าง เนื้อที่ และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านี้
นอกจากนี้ ยังหมายถึง ความสามารถที่จะมองเห็นและแสดงออกเป็นรูปร่างถึงสิ่งที่เห็นและความคิด
เกี่ยวกับพื้นที่
4. สติปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
(Bodily-Kinesthetic Intelligence) คือ ความสามารถในการใช้ร่างกายของตนแสดงความคิด
ความรู้สึก ได้แก่ นักแสดง นักแสดงท่าใบ้ นักกีฬา นาฏกร นักฟ้อนรำ และความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์
เช่น นักปั้น ช่างแก้รถยนต์ ศัลยแพทย์ ปัญญาทางด้านนี้รวมถึงทักษะทางกาย เช่น ความคล่องแคล่ว
ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส
5. สติปัญญาทางด้านดนตรี
(Musical/Rhythmic Intelligence) คือ ความสามารถทางด้านดนตรี ได้แก่
นักแต่งเพลง นักดนตรี นักวิจารณ์ดนตรี ปัญญาด้านนี้รวมถึงความไวในเรื่องจังหวะทำนอง
เสียง ตลอดจนความสามารถในการเข้าใจและวิเคราะห์ดนตรี
6. สติปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์
(Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจอารม
ความรู้สึก ความคิด และเจตนาของผู้อื่น ทั้งนี้รวมถึงความไว้ในการสังเกต น้ำเสียง ใบหน้า
ท่าทาง ทั้งยังมีความสามารถสูงในการรู้ถึงลักษณะต่าง ๆ ของสัมพันธภาพของมนุษย์และสามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
และมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถทำให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลปฏิบัติตาม
7. สติปัญญาด้านตน
หรือ การเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือ
ความสามารถในการรู้จักตนเอง และสามารถประพฤติปฏิบัติตนได้จากความรู้จักตนนี้ ความสามารถในการรู้จักตัวตนได้แก่
การรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง เช่น มีจุดอ่อน จุดแข็ง ในเรื่องใด
มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความปรารถนาของตน
มีความสามารถในการฝึกฝนตนเองและเข้าใจตนเอง
8. สติปัญญาด้านการรักธรรมชาติ
(Naturalistic) เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
และปรากฎการณ์ธรรมชาติ เข้าใจความสำคัญของตนเองกับสิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงความสามารถของตนที่จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติ
เข้าใจถึงการพัฒนาการของมนุษย์ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เข้าใจและจำแนกความเหมือนกันของสิ่งของ
เข้าใจการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสสาร
ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ครูควรจัดกิจกรรมเสริมศักยภาพเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนทั้ง
8 ด้าน และต้องสังเกตว่าเด็กแต่ละคนมีทักษะความสามารถ
ความถนัดเฉพาะทางด้านใดเป็นพิเศษ เพื่อการจัดกิจกรรมเสริมให้สอดคล้องกับความถนัด
ความสนใจของเด็ก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น