เด็กวันนี้ ผู้ใหญ่ในวันหน้า !??

เยาวชน = หัวใจของสังคมสร้างสรรค์ 
เป็นที่เชื่อแน่ว่า "เด็กและเยาวชน" จะกลายเป็น key word ที่สำคัญที่สุดในทศวรรษหน้า เป็นหนึ่งใน agenda หลักของแผนการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั่วโลก ตั้งแต่หลังปี 2000 เป็นต้นมา การประชุมและกิจกรรมของสหประชาชาติจำนวนมาก ระบุให้ความสำคัญกับเยาวชน และหลายครั้งที่เปิดโอกาสให้เด็กเข้าร่วมแสดงบทบาทอย่างเป็นทางการ หรืออย่างในโอลิมปิกปี 2012 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษก็ได้เลือกหัวข้อ "เยาวชน" เป็นหัวใจสำคัญของงานที่ต้องการสื่อสารกับเวทีโลก
แต่เพราะอะไรแนวคิดการพัฒนา "สังคมสร้างสรรค์" จึงให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนนัก เหตุผลไม่ใช่แค่ว่า "เด็ก คือ ตัวแทนแห่งอนาคต" เท่านั้น หากแต่ชีวิตในวัยเด็กของมนุษย์เรา คือ ช่วงเวลาที่จินตนาการและความสร้างสรรค์สามารถเติบโตงอกงามได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดด้วย ในทุกวั้นนี้ เราจะเห็นว่า วิธีคิดหรือการใช้สัญชาตญาณแบบเด็กๆ ได้รับการหยิบยกมาใช้เป็นกลไกในกระบวนการคิดค้น และแก้ปัญหาหลายๆ อย่าง เหตุเพราะ "ความเป็นเด็ก" นั้นมีพลังที่สามารถช่วยให้ผูู้ใหญ่อย่างเราๆ ท่านๆ พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ให้สูงขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยผ่านจิตวิญญาณที่ยังคงความขี้เล่น ขี้สงสัย และกล้าที่จะทดลองในแบบเด็กๆนั่นเอง

แนวโน้มการพัฒนาทักษะกับความสร้างสรรค์ ในอดีตนั้น มนุษย์เรามักอบรมเลี้ยงดูลูกหลานให้เก่งกล้าสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ จะเป็นนักปั้นหม้อ หรือเป็นพ่อค้าก็ว่ากันไป เพราะที่ผ่านมาเราเชื่อว่าความชำนาญหรือทักษะนั้น คือสิ่งที่มนุษย์ใช้ทำมาหาเลี้ยงชีพได้ แต่ในอนาคตต่อจากนี้ไป เมื่อโลกและบริบทสังคมไม่เหมือนเดิมแล้ว ส่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับเด็กๆ อาจไม่ใช่แค่การพัฒนาทักษะหรือความชำนาญอย่างใดอย่างหนึ่งอีกต่อไป แต่ละสังคมจะต้องหล่อเลี้ยง ประคับประคอง และเสริมสร้างเด็กรุ่นใหม่ ให้เป็นผู้ที่รู้จัก รัก และกล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วย เพราะนี่คือ เส้นทางที่นักคิดเชื่อว่า จะนำไปสู่สังคมสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพในอนาคต ที่ประชากรมีความสมบูรณ์ทั้งในเชิงประสบการณ์ ความสุข ความอยู่ดีกินดี และท้ายที่สุด ...ความนับถือในตนเอง
จากการสังเกตโดยรวมพบว่าแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นฐานหลายๆ ด้านของโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะในเชิงสังคมเทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ (อาทิ โครงสร้างครอบครัว ตลาดแรงงาน ระบบการศึกษา ฯลฯ) ต่างมีประเด็นเรื่องเด็กและเยาวชน เรื่องโอกาสทางการเรียนรู้ เเรื่องศักยภาพในการจินตนาการของมนุษย์ ฯลฯ เข้ามาเป็นปัจจัยให้ได้ยินกันมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นกระแสซึ่งส่งผลต่อความเป็นไปหลายๆ อย่างในทุกมุมโลก ซึ่งในไม่ช้าไม่นานพวกเราทุกคนคงต้องปรับตัวเข้ากับกระแสใหม่เหล่านี้ให้ได้

- วัฒนธรรมใหม่ เชื่อในพลังของมนุษย์ เป็นกลุ่มแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานความเชื่อในคุณค่าและอำนาจของมนุษย์ ปักหมุดให้การเรียนรู้และจินตนาการของเด็กเป็นประเด็นหลักของการพัฒนาในทุกสังคม โดยกล่าวว่า ศักยภาพของเด็กและเยาวชนนั้นส่งผลโดยตรงต่อศักยภาพของมนุษย์ชาติโดยรวม แนวคิดนี้มองว่า "เด็ก = ทรัพยากร" ที่จะผลักดันการเติบโตและการพัฒนาทั้งหมดทั้งปวงในอนาคตไม่ว่าจะในเชิงเศรษฐกิจ สังคม หรือความยั่งยืนทางวัฒนธรรมด้วย

- โฉมหน้าใหม่ของมดงาน โครงสร้างของวัฒนธรรมการทำงาน และตลาดแรงงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในอนาคต โดยตลาดแรงงานนั้นจะเริ่มมีความเป็นเอกเทศ เป็นส่วนตัว และมีความยืดหยุ่นสูงมากขึ้น ภาพลักษณ์เดิมๆ ของชีวิตการทำงาน อาทิ งานแบบเข้าเก้าโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น, ชีวิตการเดินทางไปออฟฟิศ, วันพักร้อน ฯลฯ จะค่อยๆจางหายไป ในอนาคตข้างหน้ากลยุทธ์ด้าน Human Resource จะทวีความสำคัญขึ้นอย่างเด่นชัด การเสาะแสวงหาและพัฒนาแรงงานชั้นดี (ที่มีหัวสร้างสรรค์และเรียนรู้เร็ว) จะกลายเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร และการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจแทบทุกประเภท

- ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานองค์ความรู้ นักเศรษฐศาสตร์ต่างระบุว่า ธุรกิจที่เติบโตเร็วนั้น คือ ธุรกิจที่ให้ความสำคัญด้านทรัพยากรบุคคล และทรัพย์สินประเภทที่จับต้องไม่ได้ อาทิ ข้อมูลความรู้ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลและองค์ความรู้ต่างๆนั้นจะมีมูลค่าขึ้นมาอย่างมหาศาล
ก็ต่อเมื่อมันถูกนำมาพลิกแพลงใช้อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพนั่นเอง ฉะนั้นแล้ว ความสำเร็จในอนาคตจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ใครมีข้อมูลหรือองค์ความรู้ในมือมากกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้มันได้อย่างฉลาดและสร้างสรรค์กว่ากันต่างหาก

- อำนาจของผูบริโภคแห่งศตวรรษที่ 21 เด็กและเยาวชนได้สร้างพลังใหม่ของผู้บริโภคขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า ทุกวันนี้ ตลาดสินค้าและบริการเด็กนั้น บูมเหลือเกินแถมเด็กสมัยนี้ยังส่งพลังแฝง ที่เข้ากำหนดหรือเบี่ยงเบนตัวเลือกการบริโภคของพ่อแม่ได้อีกด้วย ถ้ามองกันให้ไกลแล้ว แบรนด์ใดที่สามารถครองใจเด็กๆในวันนี้ได้ แบรนด์นั้นก็มีสิทธิ์อยู่รอดไปจนถึงวันที่เขาโตขึ้นด้วยนั่นเอง


- เด็กอยู่หัวแถวเสมอในวัฏจักรดิจิตอล เด็กสมัยนี้ พัฒนาทักษะด้านไอทีไปพร้อมๆ กับกระบวนการเรียนรู้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การแสดงความคิด หรือการพัฒนาตัวตน ฯลฯ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า โลกดิจิตอล คือ ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน แถมยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อลักษณะความสัมพันธ์และบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปในครอบครัวด้วย (ระหว่างพ่อแม่ - ลูก)

- เด็กจะนำมาซึ่งกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ เทคโนโลยีข้อมูลและการสื่อสารทุกวันนี้ ทำให้กระบวนการเรียนรู้ของเยาวชนสามารถเดินออกนอกรั้วโรงเรียนได้ ส่งผลให้แนวคิดต่อระบบการศึกษาแบบ "ในโรงเรียน" นั้น สั่นคลอนขึ้นทุกวัน นักอนาคตศาสตร์จากบางสำนักอ้างว่า ในอนาคตเด็กๆ อาจกดดันให้โครงสร้างการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดเปลี่ยนไป คือ ตัวเด็กไม่ต้องออกจากบ้านไปโรงเรียนก็ได้ เขาสามารถนั่งเรียนอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ติดต่อกับทั้งห้องเรียนทั้งห้องผ่านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และเทคโนโลยีมัลติมีเดียที่ครบครัน

- ชีวิตคือเส้นทางการเรียนรู้ ทุกวันนี้ เราพอจะได้เห็นหายนะของมนุษย์เจนเนอเรชั่นเก่ากันไปบ้างแล้ว อาทิ การปลดแรงงานคนรุ่นเก่าที่เคยอยู่ในโรงงาน ในออฟฟิศ ในฟาร์ม ฯลฯ ออกจากระบบอุตสาหกรรม และเปิดทางให้เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมคือ กลุ่มคนเหล่านี้ทำงานด้วยทักษะเดียวมาทั้งชีวิต ทำอย่างอื่นไม่เป็นจำนวนมากต้องตกอยู่ในสถานภาพ "ผู้ไม่มีงาน" เป็นเวลานาน กลายเป็นภาระสังคม นำไปสู่สภาวะจิตใจที่ตกต่ำเศร้าหมองและหมดความนับถือตนเองในท้ายที่สุด ปรากฏการณ์นี้ให้นัยสำคัญว่า การทำอะไรเป็นแค่อย่างเดียว อาจไม่ช่วยให้เราอยู่รอดไปทั้งชีวิต มนุษย์จำเป็นจะต้อง "เรียนรู้" และ "พัฒนา" อย่างต่อเนื่อง ต้องคงไว้ซึ่งจิตใจที่รักการค้นหารักที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแบบเด็กๆให้อยู่กับเราไปตลอด พูดง่ายๆว่า ต้องพร้อมที่จะเรียนกันไปตลอดชีวิตนั่นแหละ


พ่อแม่ยังรังแกลูก (อยู่หรือเปล่า!)

ไม่ว่าในยุคสมัยไหน พ่อแม่ก็ย่อมอยากให้ลูกสบาย แต่พ่อแม่ในยุคปัจจุบันนั้นเลี้ยงลูกต่างจากสมัยก่อน เนื่องจากในสมัยนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อีกทั้งผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่าแค่เขาเรียนก็เหนื่อยแล้ว งานบ้านหรืองานอื่นๆ ไม่จะเป็นต้องช่วยก็ได้ ขอแค่เขาตั้งใจเรียน จบมาจะได้มีงานดีๆ ทำก็พอ ใช่ไหม?



       แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น จริงอยู่ว่าพ่อแม่ทุกคนไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่การที่เขาไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเองจะสร้างความลำบากให้เขาในอนาคต ต่อไปหากเขาโตขึ้น เขาจะต้องประสบปัญหาไม่น้อย เช่น

-           เขาจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องง่ายขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าพ่อแม่ไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้ลองตัดสินใจเองเลย แม้กระทั่งเรื่องการเรียน
-           เขาจะติดนิสัยพึ่งพาแต่คนอื่น ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ
-           ติดนิสัยรักสบาย งานหนักหน่อยก็ไม่สู้ เพราะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน
-           มีความรับผิดชอบต่อตัวเองในด้านต่างๆ น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นการซักเสื้อผ้าของตัวเอง หรือการล้างจาน เป็นต้น



       สุดท้ายพ่อแม่เองนั่นแหละค่ะที่จะทนต่อพฤติกรรมเหล่านี้ของเขาไม่ได้ แต่จะโทษใครล่ะคะในเมื่อเราเองนั่นแหละที่ไม่ได้สอนเข้าให้รู้จักทำอะไรด้วยตัวเองในวัยที่เขาอยากรู้ อยากลอง ถ้าเราหยิบยื่นโอกาสนั้นมาใช้ในการฝึกเขาแทนที่จะละทิ้งมันไป เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างมากมายเลยทีเดียว

ข้อมูล  : นิตยสาร Mother&Care
และข้อมูลส่วนหนึ่งจาก Next Generation Forum: Towards the creative society (ปี 2000)
เครดิตhttp://www.tcdc.or.th/src/17205/www-tcdcconnect-com/
http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=339

ความคิดเห็น