" การที่เด็กยืนยันความคิดของตนเองนั้น...ถือเป็นเรื่องที่ดี"
ความคิดของเด็กนั้น มีความแตกต่างกับของผู้ใหญ่อย่างสิ้นเชิง เด็กมีมุมมองหลักเหตุผลและวิธีการคิดของเขาเอง ฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่นำมาตรฐานของตนมาตัดสินเด็กอย่างฉาบฉวย นี่ก็คือการไม่เคารพเด็กและยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก เพระเท่ากับว่าท่านได้ฆ่าธรรมชาติของเด็ก
มักมีพ่อแม่มาพร่ำบ่นว่า ลูกเขาดื้อมากไม่ยอมฟังผู้ใหญ่สักที งอแงทีนานเป็นชั่วโมง จนพ่อแม่ต้องมาง้อถึงจะหยุดได้
วันหนึ่งดิฉันไปทำวิจัยที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง พอดีเห็นเด็กชายคนหนึ่งน้ำตาติดหน้ายังไม่แห้งเลย ดิฉันจึงเข้าไปถามเด็กว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร เด็กพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า ตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ซิงซิง(ชื่อของเด็กชาย) อยากใส่หมวกสีแดงมาโรงเรียนแต่แม่ไม่ยอม แม่ให้ซิงซิงใส่หมวกสีฟ้า ซิงซิงไม่เอาหมวกสีฟ้าแต่แม่ก็บังคับให้ใส่มา ครูในชั้นเรียนก็ยืนฟังอยู่จึงพูดว่า โธ่ ซิงซิง ไม่ต้องเสียใจหรอกนะเรื่องแค่นี้เองร้องไห้อยู่ได้
ใช่แล้ว มีหลายๆ เรื่องที่ผู้ใหญ่มองว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ้ว แต่ว่าในสายตาของเด็กนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่มาก เนื่องด้วยนิสัยที่เอาจริงเอาจิง เมื่อเด็กได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรสักอย่างแล้วเรื่องนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาขึ้นมาทันที และเขาก็จะต้องทำมันให้ได้ไม่ให้ใครมาขัดขวาง
o ทำความเข้าใจว่าทำไมเด็กชอบยืนยันความคิดของตนเอง
เด็กวัย 2-3 ขวบ เริ่มที่จะงอแง เอาแต่ใจชอบขัดคำสั่ง ที่จริงแล้วพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะผิดปกติเหล่านี้ ล้วนเป็นการแสดงว่าเด็กเริ่มมีความคิดเห็นเป็นของตนเองแล้ว
ถ้าเราสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่า เด็กมีความเป็นตัวของตัวเองในการดำเนินชีวิตประจำวันแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การใส่ร้องเท้า ทานข้าว การเดิน การเล่น เป็นต้น คือเด็กแสดงท่าทีที่ทำทุกอย่างด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เข้ามายุ่ง และมักจะปฎิเสธความช่วยเหลือของผู้ใหญ่ พอผู้ใหญ่ทำท่าจะเอารองเท้ามาช่วยใส่ให้หรือป้อนข้าวให้ เด็กมักจะแย่งร้องเท้าและซ้อนมาจัดการด้วยตัวเอง และปัดมือผู้ใหญ่ออกไป เด็กที่เริ่มมีพัฒนาการทางภาษาแล้วก็จะพูดว่า “หนูใส่เอง” “หนูกินเอง” “หนูไปเอง” เด็กที่เริ่มพูดได้ก็จะบอกว่า “ไม่เอา ทำเอง” เพื่อแสดงถึงความตั้งใจของเขาในการทำทุกอย่างด้วยตนเอง
เนื่องจากความตั้งใจนี้มีความแรงกล้ามาก และเด็กยังไม่สามารถใช้อารมณ์และภาษามาสื่อสารกับผู้ใหญ่อย่างเหมาะสมได้ การยืนยันความคิดของเด็กก็เลยดูเหมือนเป็นความดื้อด้านไม่ยอมเชื่อฟัง นอกจากนั้นการพินิจพิจารณาของเด็กยังไม่รอบคอบพอ จึงมักมีการตัดสินใจที่ผิดพลาด เช่น ต้องการใส่กระโปรงในหน้าหนาว หรือการเล่นมีดของมีคม อะไรเหล่านี้เป็นต้น การยืนยันในสิ่งที่ไม่เหมาะและอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นอาการดื้อ ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจและมีวิธีการโน้มน้าวเด็ก
o การที่เด็กยืนยันความคิดของตนนั้นเป็นเรื่องที่ดี
เรามองว่าเด็กที่มีความคิดเป็นของตนเองนั้น จะมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น เราควรอนุญาตให้เด็กได้มีมุมมองที่แตกต่างจากเรา และเราต้องส่งเสริมให้เด็กคิดด้วยตัวเอง แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเขา แต่เราก็ต้องสนับสนุนเขาในการคิดค้น หากเด็กได้ถูกปลูกฝังความเคยซินในการเป็นคนชอบคิด เขาก็จะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ไปตลอดชีวิตของเขาเช่นกัน
ครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา มีรายการทีวีเกี่ยวกับเด็กๆ พิธีกรถามเด็กชายคนหนึ่งว่า ”หนูจะเลือกทำอาชีพอะไรเมื่อโตขึ้น ?” เด็กตอบด้วยเสียงอันดังว่า “หนูจะเป็นนักบิน” พิธีกรถามต่อว่า “แล้วถ้าวันหนึ่ง เครื่องบินของหนูบินไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิค จู่ๆ ไฟดับ เชื้อเพลิงหมด หนูจะทำอย่างไร ?” เด็กนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หนูจะบอกให้ผู้โดยสารทุกคนนั่งอยู่กับที่แล้วหนูก็จะกระโดดร่ม” เมื่อได้ยินคำตอบของเด็ก ผู้ร่วมรายการทั้งหลายต่างพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง แต่พิธีกรสังเกตเห็นว่าเด็กเริ่มมีน้ำตาไหล ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและจริงจัง พิธีกรจึงถามต่อว่า “หนูโดดร่มทำไม ?” เด็กจึงได้พูดความคิดในใจออกมาว่า “หนูจะไปหาเชื้อเพลิง เมื่อหาพบแล้วหนูจะกลับมารับทุกคน หนูจะกลับมาจริงๆนะ”
ดังนั้น ตอนที่เราสื่อสารทำความเข้าใจกับเด็ก อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรแต่ควรตั้งใจฟังเขา ให้เด็กได้มีโอกาสพูดออกซึ่งความคิดเห็นในใจของเขาอย่างแท้จริง
ข้อเตือนใจพิเศษ
1. เด็กมีทัศนะมุมมองและวิธีการคิดของเขาเอง
2. เราควรเข้าใจเด็กโดยยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับของเด็ก
3. ส่งเสริมให้เด็กแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
************************
© หนังสือเรื่อง : เลี้ยงลูกให้ถูกตอน 3 ปี ลูกจะทำดีไปตลอดชีวิต
ความคิดของเด็กนั้น มีความแตกต่างกับของผู้ใหญ่อย่างสิ้นเชิง เด็กมีมุมมองหลักเหตุผลและวิธีการคิดของเขาเอง ฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่นำมาตรฐานของตนมาตัดสินเด็กอย่างฉาบฉวย นี่ก็คือการไม่เคารพเด็กและยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก เพระเท่ากับว่าท่านได้ฆ่าธรรมชาติของเด็ก
มักมีพ่อแม่มาพร่ำบ่นว่า ลูกเขาดื้อมากไม่ยอมฟังผู้ใหญ่สักที งอแงทีนานเป็นชั่วโมง จนพ่อแม่ต้องมาง้อถึงจะหยุดได้
วันหนึ่งดิฉันไปทำวิจัยที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง พอดีเห็นเด็กชายคนหนึ่งน้ำตาติดหน้ายังไม่แห้งเลย ดิฉันจึงเข้าไปถามเด็กว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร เด็กพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า ตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ซิงซิง(ชื่อของเด็กชาย) อยากใส่หมวกสีแดงมาโรงเรียนแต่แม่ไม่ยอม แม่ให้ซิงซิงใส่หมวกสีฟ้า ซิงซิงไม่เอาหมวกสีฟ้าแต่แม่ก็บังคับให้ใส่มา ครูในชั้นเรียนก็ยืนฟังอยู่จึงพูดว่า โธ่ ซิงซิง ไม่ต้องเสียใจหรอกนะเรื่องแค่นี้เองร้องไห้อยู่ได้
ใช่แล้ว มีหลายๆ เรื่องที่ผู้ใหญ่มองว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ้ว แต่ว่าในสายตาของเด็กนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่มาก เนื่องด้วยนิสัยที่เอาจริงเอาจิง เมื่อเด็กได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรสักอย่างแล้วเรื่องนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาขึ้นมาทันที และเขาก็จะต้องทำมันให้ได้ไม่ให้ใครมาขัดขวาง
o ทำความเข้าใจว่าทำไมเด็กชอบยืนยันความคิดของตนเอง
เด็กวัย 2-3 ขวบ เริ่มที่จะงอแง เอาแต่ใจชอบขัดคำสั่ง ที่จริงแล้วพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะผิดปกติเหล่านี้ ล้วนเป็นการแสดงว่าเด็กเริ่มมีความคิดเห็นเป็นของตนเองแล้ว
ถ้าเราสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่า เด็กมีความเป็นตัวของตัวเองในการดำเนินชีวิตประจำวันแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การใส่ร้องเท้า ทานข้าว การเดิน การเล่น เป็นต้น คือเด็กแสดงท่าทีที่ทำทุกอย่างด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เข้ามายุ่ง และมักจะปฎิเสธความช่วยเหลือของผู้ใหญ่ พอผู้ใหญ่ทำท่าจะเอารองเท้ามาช่วยใส่ให้หรือป้อนข้าวให้ เด็กมักจะแย่งร้องเท้าและซ้อนมาจัดการด้วยตัวเอง และปัดมือผู้ใหญ่ออกไป เด็กที่เริ่มมีพัฒนาการทางภาษาแล้วก็จะพูดว่า “หนูใส่เอง” “หนูกินเอง” “หนูไปเอง” เด็กที่เริ่มพูดได้ก็จะบอกว่า “ไม่เอา ทำเอง” เพื่อแสดงถึงความตั้งใจของเขาในการทำทุกอย่างด้วยตนเอง
เนื่องจากความตั้งใจนี้มีความแรงกล้ามาก และเด็กยังไม่สามารถใช้อารมณ์และภาษามาสื่อสารกับผู้ใหญ่อย่างเหมาะสมได้ การยืนยันความคิดของเด็กก็เลยดูเหมือนเป็นความดื้อด้านไม่ยอมเชื่อฟัง นอกจากนั้นการพินิจพิจารณาของเด็กยังไม่รอบคอบพอ จึงมักมีการตัดสินใจที่ผิดพลาด เช่น ต้องการใส่กระโปรงในหน้าหนาว หรือการเล่นมีดของมีคม อะไรเหล่านี้เป็นต้น การยืนยันในสิ่งที่ไม่เหมาะและอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นอาการดื้อ ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจและมีวิธีการโน้มน้าวเด็ก
o การที่เด็กยืนยันความคิดของตนนั้นเป็นเรื่องที่ดี
เรามองว่าเด็กที่มีความคิดเป็นของตนเองนั้น จะมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น เราควรอนุญาตให้เด็กได้มีมุมมองที่แตกต่างจากเรา และเราต้องส่งเสริมให้เด็กคิดด้วยตัวเอง แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเขา แต่เราก็ต้องสนับสนุนเขาในการคิดค้น หากเด็กได้ถูกปลูกฝังความเคยซินในการเป็นคนชอบคิด เขาก็จะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ไปตลอดชีวิตของเขาเช่นกัน
ครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา มีรายการทีวีเกี่ยวกับเด็กๆ พิธีกรถามเด็กชายคนหนึ่งว่า ”หนูจะเลือกทำอาชีพอะไรเมื่อโตขึ้น ?” เด็กตอบด้วยเสียงอันดังว่า “หนูจะเป็นนักบิน” พิธีกรถามต่อว่า “แล้วถ้าวันหนึ่ง เครื่องบินของหนูบินไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิค จู่ๆ ไฟดับ เชื้อเพลิงหมด หนูจะทำอย่างไร ?” เด็กนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หนูจะบอกให้ผู้โดยสารทุกคนนั่งอยู่กับที่แล้วหนูก็จะกระโดดร่ม” เมื่อได้ยินคำตอบของเด็ก ผู้ร่วมรายการทั้งหลายต่างพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง แต่พิธีกรสังเกตเห็นว่าเด็กเริ่มมีน้ำตาไหล ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและจริงจัง พิธีกรจึงถามต่อว่า “หนูโดดร่มทำไม ?” เด็กจึงได้พูดความคิดในใจออกมาว่า “หนูจะไปหาเชื้อเพลิง เมื่อหาพบแล้วหนูจะกลับมารับทุกคน หนูจะกลับมาจริงๆนะ”
ดังนั้น ตอนที่เราสื่อสารทำความเข้าใจกับเด็ก อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรแต่ควรตั้งใจฟังเขา ให้เด็กได้มีโอกาสพูดออกซึ่งความคิดเห็นในใจของเขาอย่างแท้จริง
ข้อเตือนใจพิเศษ
1. เด็กมีทัศนะมุมมองและวิธีการคิดของเขาเอง
2. เราควรเข้าใจเด็กโดยยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับของเด็ก
3. ส่งเสริมให้เด็กแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
************************
© หนังสือเรื่อง : เลี้ยงลูกให้ถูกตอน 3 ปี ลูกจะทำดีไปตลอดชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น